Published on

OpenAI เปิดตัว Super AI Agent ระดับปริญญาเอก

ผู้เขียน
  • avatar
    ชื่อ
    Ajax
    Twitter

การเปิดตัว Super AI Agent ของ OpenAI

OpenAI เตรียมที่จะเปิดตัว Super AI Agent ระดับปริญญาเอก ซึ่งเป็นข่าวที่สร้างความตื่นเต้นและความกังวลในหมู่พนักงานของ OpenAI เอง โดย Sam Altman ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ OpenAI มีกำหนดการที่จะบรรยายสรุปให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ ฟังในวันที่ 30 มกราคม การพัฒนา AI ขั้นสูงนี้อาจส่งผลกระทบต่อตำแหน่งงานของวิศวกรซอฟต์แวร์ระดับกลาง

ผลกระทบต่อตลาดแรงงาน

ข่าวลือเกี่ยวกับการเปิดตัว Super AI Agent ของ OpenAI นั้นมีมาอย่างต่อเนื่อง และมีการคาดการณ์ถึงผลกระทบต่อตลาดแรงงานทั่วโลกอย่างกว้างขวาง เอกสารภายในของ Bloomberg เผยว่า Meta บริษัทแม่ของ Facebook วางแผนที่จะลดจำนวนพนักงานลงประมาณ 5% Mark Zuckerberg เคยกล่าวไว้ว่า Meta จะไม่ต้องการวิศวกรซอฟต์แวร์ระดับกลางอีกต่อไป โดย AI Agent จะเข้ามาทำหน้าที่แทน คำกล่าวนี้เริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้นเมื่อ Meta เริ่มดำเนินการเลิกจ้าง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลกระทบของ AI ต่อโครงสร้างการจ้างงาน

การปรับตัวของ Salesforce

Salesforce แพลตฟอร์ม CRM ชั้นนำ ก็ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ Benioff CEO ของ Salesforce กล่าวว่าการใช้เทคโนโลยี AI เช่น Agent ทำให้ประสิทธิภาพของทีมวิศวกรซอฟต์แวร์เพิ่มขึ้นกว่า 30% ในปี 2024 ดังนั้น Salesforce จึงวางแผนที่จะหยุดการจ้างงานใหม่ในตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์ในปี 2025 และลดจำนวนวิศวกรสนับสนุน ในขณะเดียวกันก็จะเพิ่มพนักงานขายเพื่อสื่อสารคุณค่าของ AI ให้กับลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

Super AI Agent คืออะไร

Super AI Agent เป็นเทคโนโลยี AI ยุคใหม่ที่สามารถแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและมีหลายขั้นตอน ซึ่งเกินความสามารถของมนุษย์ได้ โดยแตกต่างจากเครื่องมือ AI แบบเดิมที่ตอบสนองต่อคำสั่งเดียว Super AI Agent สามารถตั้งเป้าหมายและดำเนินการได้เอง ตัวอย่างเช่น เมื่อได้รับคำสั่งให้ "สร้างซอฟต์แวร์การชำระเงินใหม่" Super AI Agent จะจัดการกระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่การออกแบบ การทดสอบ ไปจนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้จริง

เทคโนโลยีเบื้องหลัง Super AI Agent

กระบวนการทำงานของ Super AI Agent นั้นเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล การประเมินแนวทางแก้ไขต่างๆ และการบูรณาการความรู้และเทคโนโลยีจากหลากหลายสาขา เทคโนโลยีหลักคือการผสมผสานระหว่างอัลกอริทึม Machine Learning ขั้นสูง, Natural Language Processing และ Complex System Modeling and Optimization

Machine Learning

ในด้าน Machine Learning Super AI Agent น่าจะใช้การผสมผสานระหว่าง Reinforcement Learning และ Deep Learning Reinforcement Learning ช่วยให้ Agent เรียนรู้กลยุทธ์การทำงานที่เหมาะสมผ่านการปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม โดยมีสัญญาณตอบรับเป็นตัวนำทาง Deep Learning ให้ความสามารถในการดึงคุณลักษณะและจดจำรูปแบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ Agent สามารถดึงข้อมูลเชิงลึกจากข้อความ รูปภาพ และข้อมูลจำนวนมากได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

Natural Language Processing

ในด้าน Natural Language Processing Super AI Agent แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเข้าใจและสร้างภาษาที่เหนือกว่า สามารถเข้าใจงานที่ซับซ้อนที่แสดงด้วยภาษาธรรมชาติของมนุษย์ และให้ข้อเสนอแนะที่ชัดเจนและถูกต้องเกี่ยวกับความคืบหน้าและผลลัพธ์ของงาน ความสามารถนี้อาศัย Large-Scale Language Models และ Transformer Architecture-Based Pre-Training ทำให้ Agent สามารถเรียนรู้ความรู้ทางภาษาและความสัมพันธ์เชิงความหมายได้อย่างกว้างขวาง ทำให้สามารถทำงานได้ดีในบริบททางภาษาที่หลากหลาย

Complex System Modeling and Optimization

Complex System Modeling and Optimization เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ Super AI Agent สามารถจัดการกับงานที่ซับซ้อนได้ สำหรับปัญหาเช่นการจัดการห่วงโซ่อุปทานหรือการวางแผนโครงการ Agent จะสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่แม่นยำซึ่งอธิบายการทำงานและข้อจำกัดของระบบ จากนั้นจะใช้อัลกอริทึม Optimization เพื่อค้นหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมที่สุด ตัวอย่างเช่น ในการจัดการห่วงโซ่อุปทาน Agent จะพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น อุปทานวัตถุดิบ กำลังการผลิต โลจิสติกส์ และความต้องการของตลาด Agent จะปรับเส้นทางการขนส่ง ตารางการผลิต และกลยุทธ์สินค้าคงคลังให้เหมาะสม เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และยกระดับการบริการ

ผลการทดสอบเบื้องต้น

แม้ว่า Super AI Agent จะยังไม่พร้อมใช้งานอย่างแพร่หลาย แต่การทดสอบและการวิจัยเบื้องต้นได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของมัน ในการจำลอง Agent สามารถดึงข้อมูลที่มีค่าจากชุดข้อมูลที่ซับซ้อนได้เร็วกว่าวิธีดั้งเดิมหลายเท่า ในการทดสอบด้านโลจิสติกส์ Agent สามารถปรับเส้นทางการขนส่งให้เหมาะสม ลดต้นทุนได้ 15% ถึง 20% ในขณะที่ปรับปรุงเวลาการจัดส่งได้อย่างมาก ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ Agent ได้ช่วยทีมในการเขียนโค้ดและการทดสอบ ปรับปรุงคุณภาพของโค้ด และลดเวลาในการพัฒนาลงประมาณ 30% ผลลัพธ์เบื้องต้นเหล่านี้บ่งชี้ถึงผลกระทบที่เปลี่ยนแปลงไปในหลายภาคส่วน