- Published on
การศึกษาพบว่า ChatGPT มีความเห็นอกเห็นใจเหนือกว่าแพทย์ในการตอบคำถามด้านสุขภาพ
บทนำ
นับตั้งแต่ ChatGPT ได้เปิดตัวสู่สาธารณะ ความสามารถอันโดดเด่นของมันในแวดวงการแพทย์ก็ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ตัวอย่างเช่น ในการสอบระดับชาติทางการแพทย์ของเยอรมนี ChatGPT สามารถทำคะแนนเฉลี่ยได้สูงถึง 74.6% ซึ่งสูงกว่านักศึกษาที่เป็นมนุษย์ และสามารถตอบคำถามได้ถูกต้องถึง 88.1% จาก 630 คำถาม นอกจากนี้ ในการใช้งานทางการแพทย์จริง ChatGPT สามารถให้คำตอบที่ค่อนข้างแม่นยำสำหรับคำถามทางการแพทย์ 284 คำถาม ครอบคลุม 17 สาขาเฉพาะทาง และยังคงพัฒนาประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องผ่านการเรียนรู้แบบเสริมกำลัง ในสาขากระดูกและเวชศาสตร์การกีฬา ChatGPT มีความแม่นยำในการตอบคำถามตัวอย่างถึง 65%
ภูมิหลังและวิธีการวิจัย
เพื่อสำรวจศักยภาพของ ChatGPT ในด้านการแพทย์ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น นักวิจัยจากคลินิก BG เมืองลุดวิกส์ฮาเฟิน ประเทศเยอรมนี ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบ โดยเลือกคำถามที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ 100 ข้อจาก 5 สาขาทางการแพทย์หลัก ได้แก่ ศัลยกรรมอุบัติเหตุ ศัลยกรรมทั่วไป โสต ศอ นาสิก กุมารเวชศาสตร์ และอายุรศาสตร์ จากนั้นนำมาเปรียบเทียบคำตอบระหว่าง ChatGPT กับผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ (EP) ผลการศึกษาพบว่า ChatGPT มีความเห็นอกเห็นใจและเป็นประโยชน์มากกว่าผู้เชี่ยวชาญ
เพื่อประเมินการรับรู้ของผู้ป่วยต่อผู้ช่วย AI อย่างครอบคลุม นักวิจัยได้ใช้วิธีการหลายขั้นตอนดังนี้:
- การรวบรวมคำถาม: เก็บรวบรวมคำถามที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ 100 ข้อจากแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับผู้ป่วย ซึ่งครอบคลุม 5 สาขาทางการแพทย์ โดยแต่ละสาขาจะมี 20 คำถาม
- การสร้างคำตอบ: ใช้ ChatGPT-4.0 สร้างคำตอบสำหรับ 100 คำถาม และนำไปเปรียบเทียบกับคำตอบของผู้เชี่ยวชาญจากแพลตฟอร์มเดียวกัน
- การทำให้นิรนาม: คำถามและคำตอบทั้งหมดถูกทำให้นิรนาม และบรรจุเป็นชุดข้อมูล 10 ชุด แต่ละชุดมี 10 คำถาม
- การประเมิน: ชุดข้อมูลเหล่านี้ถูกแจกจ่ายให้ผู้ป่วยและแพทย์ประเมิน โดยผู้ป่วยจะให้ความสำคัญกับความเห็นอกเห็นใจและประโยชน์ของคำตอบ ในขณะที่แพทย์จะประเมินความเห็นอกเห็นใจ ประโยชน์ ความถูกต้อง และอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากคำตอบ
เพื่อให้มั่นใจถึงความเป็นธรรมในการประเมิน ผู้เข้าร่วมทุกคนจะไม่ทราบว่าคำตอบนั้นมาจาก ChatGPT หรือผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังได้เก็บข้อมูลพื้นฐานของผู้ป่วย เช่น อายุและเพศ รวมถึงประสบการณ์การทำงานของแพทย์ เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของปัจจัยเหล่านี้ต่อผลการประเมิน
ผลการประเมินและการวิเคราะห์: การประเมินของผู้ป่วย
ผู้ป่วยให้คะแนนคำตอบของ ChatGPT ในระดับสูงโดยทั่วไป
- ความเห็นอกเห็นใจ: ChatGPT ได้คะแนนเฉลี่ย 4.2 (ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน 0.15) ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญได้คะแนนเฉลี่ย 3.8 (ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน 0.18)
- ประโยชน์: ChatGPT ได้คะแนนเฉลี่ย 4.1 ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญได้คะแนนเฉลี่ย 3.7
ผลลัพธ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่รู้สึกว่าคำตอบของ ChatGPT มีความเห็นอกเห็นใจและเป็นประโยชน์มากกว่าคำตอบของผู้เชี่ยวชาญ
การวิเคราะห์เพิ่มเติมพบว่า อายุและเพศของผู้ป่วยไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการประเมิน แต่ระดับการศึกษาและสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้ป่วยอาจมีผลต่อการยอมรับ ChatGPT อย่างไรก็ตาม เนื่องจากงานวิจัยไม่ได้เก็บข้อมูลในส่วนนี้ จึงไม่สามารถทำการวิเคราะห์ในรายละเอียดได้
ผลการประเมินและการวิเคราะห์: การประเมินของแพทย์
แพทย์ยังให้คะแนนคำตอบของ ChatGPT ในเชิงบวก
- ความเห็นอกเห็นใจ: ChatGPT ได้คะแนนเฉลี่ย 4.3 ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญได้คะแนนเฉลี่ย 3.9
- ประโยชน์: ChatGPT ได้คะแนนเฉลี่ย 4.2 (ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน 0.15) ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญได้คะแนนเฉลี่ย 3.8 (ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน 0.17)
- ความถูกต้อง: ChatGPT ได้คะแนนเฉลี่ย 4.5 (ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน 0.13) ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญได้คะแนนเฉลี่ย 4.1 (ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน 0.15)
- อันตรายที่อาจเกิดขึ้น: ChatGPT ได้คะแนนเฉลี่ย 1.2 (ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน 0.08) ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญได้คะแนนเฉลี่ย 1.5 (ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน 0.10)
ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ChatGPT ไม่เพียงแต่มีความโดดเด่นในด้านความเห็นอกเห็นใจ ประโยชน์ และความถูกต้องเท่านั้น แต่ยังมีอันตรายที่อาจเกิดขึ้นน้อยกว่าผู้เชี่ยวชาญอีกด้วย
การประยุกต์ใช้และความสำคัญ
การศึกษาครั้งนี้เน้นย้ำถึงศักยภาพอันมหาศาลของ AI อย่าง ChatGPT ในการปฏิวัติการดูแลสุขภาพ การที่ ChatGPT สามารถให้คำตอบที่เห็นอกเห็นใจและเป็นประโยชน์มากกว่าผู้เชี่ยวชาญ แสดงให้เห็นว่า AI สามารถเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการให้คำแนะนำทางการแพทย์เบื้องต้นแก่ผู้ป่วยได้ นอกจากนี้ การที่แพทย์ยังให้คะแนนความถูกต้องของ ChatGPT ในระดับสูง แสดงให้เห็นว่า AI สามารถให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้และปลอดภัยได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่า AI ไม่ได้มีเจตนาที่จะมาแทนที่แพทย์ แต่เป็นเครื่องมือสนับสนุนที่สามารถช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและทันเวลาแก่ผู้ป่วย AI สามารถเพิ่มการเข้าถึงการดูแลสุขภาพ และช่วยให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของตนเองได้มากขึ้น
ข้อจำกัดของการศึกษา
แม้ว่าการศึกษาครั้งนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่า แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการที่ควรพิจารณา
- ขนาดตัวอย่าง: การศึกษาใช้คำถามเพียง 100 ข้อ ซึ่งอาจไม่ครอบคลุมทุกแง่มุมของปัญหาด้านสุขภาพ
- ความหลากหลายของผู้เข้าร่วม: ผู้เข้าร่วมในการศึกษาอาจไม่ได้เป็นตัวแทนของประชากรทั่วไป ซึ่งอาจส่งผลต่อผลลัพธ์
- การประเมิน: การประเมินขึ้นอยู่กับความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เข้าร่วม ซึ่งอาจมีอคติ
ทิศทางในอนาคต
การวิจัยในอนาคตควรสำรวจผลกระทบของ AI ต่อการดูแลสุขภาพในวงกว้างมากขึ้น โดยควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น:
- การศึกษาเชิงปริมาณ: การศึกษาเพิ่มเติมควรใช้ขนาดตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้นและมีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือมากขึ้น
- การศึกษาเชิงคุณภาพ: การศึกษาเชิงคุณภาพสามารถช่วยให้เราเข้าใจประสบการณ์และความคิดเห็นของผู้ป่วยและแพทย์เกี่ยวกับ AI ในการดูแลสุขภาพได้มากขึ้น
- การพัฒนา AI: การวิจัยควรเน้นการพัฒนา AI ที่สามารถให้การดูแลสุขภาพที่เป็นส่วนตัวและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย
บทสรุป
การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ChatGPT มีศักยภาพในการปฏิวัติการดูแลสุขภาพ โดยการให้คำตอบที่เห็นอกเห็นใจ เป็นประโยชน์ และถูกต้องแก่ผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาถึงข้อจำกัดของการศึกษาและดำเนินการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อสำรวจศักยภาพของ AI ในการดูแลสุขภาพอย่างเต็มที่